วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ชัมบาลา (SHAMBALA), ดินแดนที่ขอบฟ้าไม่ปรากฏ (Lost Horizon)


ชัมบาลา (Shambhala) หรือ แชงกรีลา (Shangri-La) ในภาษา ทิเบต หมายถึง ดินแดนอันบริสุทธิ์ เป็นตำนานลึกลับของโลกแห่งพุทธศาสนา ต้นกำเนิดของการสอน Kalachakra ในหนังสือประวัติศาสตร์ ทิเบต ได้มีการบันทึกเรื่องราวของ ชัมบาลา ไว้มากมาย แต่นักวิชาการทางพุทธศาสนาก็ยังตั้งข้อกังขาว่าแท้จริงแล้ว ชัมบาลา นั้นมีอยู่จริงหรือเป็นเพียงแดนสวรรค์ในนิยาย ถือเป็นความลี้ลับที่ยังไม่มีบทสรุป


มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับ อาณาจักรในฝัน ซึ่งเป็นต้นตอแห่งศิลปศาสตร์และอารยธรรมของสังคมเอเชียปัจจุบัน ตามตำนานเล่าว่า อาณาจักรแห่งนี้เป็นสถานที่แห่งสันติสุขและความรุ่งเรือง ซึ่งปกครอง โดยผู้ปกครองทรงสติปัญญาและการุณ ทั้งอาณาประชาราษฎร์ก็ล้วนรอบรู้และเมตตาปราณี ดังนั้นเองอาณาจักรนี้จึงเป็นสังคมในอุดมคติ สถานที่นี้ถูกขนานนามว่า ซัมบาลา
เล่ากันว่าพุทธศาสนาได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการสร้างสรรค์สังคมซัมบาลา ตามตำนาน กล่าวว่า ศากยมุณีพุทธได้แสดงธรรมว่าด้วยตันตระขั้นสูงแก่ดาวะ สังโป ปฐมกษัตริย์แห่ง ซัมบาลา บรรดาพระธรรมเหล่านี้ได้สืบทอดกันมาเป็น "กาลจักรตันตระ" ซึ่งถือว่าเป็น ปรีชาญาณที่ลึกซึ้งที่สุดของพุทธศาสนาแบบธิเบต หลังจากองค์กษัตริย์ได้สดับพระธรรม เทศนาเหล่านี้แล้ว เล่ากันว่าบรรดาอาณาประชาราษฎร์แห่งซัมบาลาต่างพากันปฏิบัติสมาธิ ภาวนาและดำเนินชีวิตตามพุทธมรรคา ด้วยการมีเมตตาจิตและเอาใจใส่ทุกข์สุขของสัตว์ทั้ง หลาย โดยนัยนี้เอง ไม่เพียงผู้ปกครองเท่านั้น แต่บรรดาทวยราษฎร์ในอาณาจักรล้วนแล้วเป็น อริยบุคคลผู้มีใจสูงทั้งสิ้น
ในหมู่ชาวธิเบต มีความเชื่อว่าอาณาจักรซัมบาลานี้ยังดำรงอยู่ซ่อนเร้นอยู่หุบเขาอันลี้ลับใน เทือกเขาหิมาลัย ทั้งยังมีบันทึกอยู่ในคัมภีร์พุทธศาสนา ซึ่งบรรยายถึงสถานที่ตั้งและทิศทาง ที่จะไปสู่ซัมบาลา ทว่าข้อมูลเหล่านั้นเลอะเลือนมาก จนกระทั่งมีผู้สงสัยว่านี่จะถือเป็นจริงหรือ เป็นเพียงข้อมูลเปรียบเปรยเท่านั้น ทั้งยังมีคัมภีร์หลายฉบับซึ่งบรรยายอย่างละเอียดลออถึง อาณาจักรแห่งนี้ ยกตัวอย่างเช่นตามที่อ้างอิงอยู่ใน "มหาอรรถกถาแห่งกาลจักร" ซึ่งเขียนโดย มิฟัม คุรุ ผู้มีชื่อเสียงในสมัยศตวรรษที่สิบเก้า ดินแดนซัมบาลานี้อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำสิตะ ดินแดนแห่งนี้ ถูกแบ่งออกโดยแนวเทือกเขาทั้งแปด พระราชวังของริกเดนหรือราชันผู้ปกครอง ซัมบาลานั้น สร้างอยู่บนยอดเขาทรงกลมซึ่งตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางดินแดน มิฟัมบอกต่อไปว่า ขุนเขา ลูกนี้ชื่อไกรลาส พระราชวังซึ่งมีชื่อว่ากัลปะกว้างยาวหลายร้อยเส้น เบื้องหน้าพระราชวังทางทิศ ใต้มีสวนรุกขชาติอันงดงามที่มีชื่อว่ามาลัย ตรงกึ่งกลางสวนรุกขชาตินี้มีวิหารซึ่งสร้างอุทิศถวาย แด่กาลจักรโดย ดาวะ สังโป
ตามตำนานอื่นๆ กลับกล่าวว่า อาณาจักรซัมบาลานี้ได้สาปสูญไปจากโลกหลายร้อยปีแล้ว มาถึง จุดหนึ่งเมื่อทั้งราชอาณาจักรได้บรรลุถึงการตรัสรู้ จึงได้สูญสลายไปดำรงอยู่ในมิติอื่น ตามตำนาน กล่าวว่า กษัตริย์ริกเดนแห่งซัมบาลายังคงเฝ้าดูกิจกรรมทั้งมวลของมุนษย์โลกอยู่ แล้วสักวันหนึ่ง จะลงมาช่วยมนุษย์ชาติให้รอดพ้นหายนะ ยังมีชาวธิเบตอีกไม่น้อยที่เชื่อว่าราชันนักรบผู้ยิ่งใหญ่ กษัตริย์เกซาร์ แห่งหลิง ทรงได้รับแรงบันดาลใจและได้รับการชี้นำจากกษัตริย์ริกเดน และปรีชา ญาณแห่งซัมบาลานี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อที่ว่าอาณาจักรซัมบาลาดำรงอยู่ในมิติอื่น เพราะ เชื่อกันว่าเกซาร์ก็ไม่เคยเดินทางไปซัมบาลา ดังนั้นสายสัมพันธ์แห่งซัมบาลาจึงเป็นเรื่องของ การเชื่อมโยงทางภาวะธรรม ราชันเกซาร์มีชีวิตอยู่ประมาณศตวรรษที่สิบเอ็ด และได้ปกครอง แว่นแค้วนหลิง ซึ่งตั้งอยู่ในจังหวัดคัมธิเบตตะวันออก จากรัชสมัยนี้เอง จึงอุบัติเรื่องราวมากมาย เกี่ยวกับปรีชาสามารถทั้งในแง่ของการศึกษาและการปกครอง เล่าขานกันไปทั้งธิเบต กลายเป็น มหากาพย์อันยิ่งใหญ่ของวรรณกรรมธิเบต บางตำนานก็กล่าวว่าเกซาร์จะปรากฎขึ้นมาอีกครั้ง จากซัมบาลา นำทัพมาปราบมารและพลังมืดดำของโลก
เมื่อไม่นานมานี้ มีนักวิชาการตะวันตกบางคนได้สันนิษฐานว่า อาณาจักรซัมบาลาอาจจะเป็น อาณาจักรโบราณแห่งใดแห่งหนึ่งซึ่งมีบันทึกอยู่เอกสารทางประวัติศาสตร์ ดังเช่น อาณาจักร ชางชุงในเอเชียกลาง อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการหลายคนที่เชื่อว่าเรื่องราวเกี่ยวกับซัมบาลา เป็นเพียงเรื่องเล่าขานที่ไม่เป็นจริง แต่ในขณะที่อาจสรุปกันง่าย ๆ ว่าอาณาจักรนี้เป็นเรื่อง โกหกทั้งเพนั้น เราก็อาจเห็นได้ชัดถึงร่องรอยของความปรารถนาของมนุษย์ อันฝังรากแน่น อยู่ในสิ่งสูงและชีวิตอันดีงาม ซึ่งแสดงออกผ่านตำนานนี้ ที่จริงแล้วในบรรดาคุรุธิเบตหลาย ท่านมีประเพณีซึ่งถือว่าอาณาจักรซัมบาลามิใช่สถานที่ซึ่งดำรงอยู่ภายนอกหากเป็นรากฐาน ของสภาวะการหยั่งรู้และการประจักษ์แจ้ง อันเป็นศักยภาพที่ดำรงอยู่ภายในตัวมนุษย์ทุกคน จากทัศนะนี้เอง จึงไม่สำคัญว่าอาณาจักรณ์ซัมบาลาเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หากควรที่เราจะเห็น คุณค่า และดำเนินตามอุดมคติของสังคมอริยะซึ่งแสดงนัยอยู่